doctorgracec

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โบท็อกซ์ และ ฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร


คำถามนี้เป็นคำถามเบสิคมากๆเลยค่ะที่คนไข้ถามหมอ ลองมาดูคุณสมบัติของสารทั้งสองตัวนี้กันดูค่า

BOTOX



โบท็อกซ์คืออะไร และทำงานอย่างไรบ้าง
-           โบทูลินั่มท็อกซินเป็นสารประกอบจำพวกโปรตีนตามธรรมชาติ ถูกใช้เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ก่อให้เกิดริ้วรอย โดยออกฤทธิ์ชั่วคราว ไม่ถาวร นอกจากนี้มันยังสามารถใช้ในการรักษาโรคทางการแพทย์ เช่น ภาวะเหงื่ออกมากผิดปกติ (hyperhidrosis)ได้อีกด้วยค่ะ  โบท็อกซ์(Botox)เป็นโบทูลินั่มท็อกซินยี่ห้อแรกที่วางขาย และก็เป็นที่รู้จักมากที่สุดในท้องตลาด อีกทั้งยังเป็นยี่ห้อที่ผ่านการทดสอบมากที่สุดอีกด้วยค่ะ

การรักษาด้วยโบท็อกซ์เป็นอย่างไร
-           โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องพักฟื้น อาจมีช้ำบวมได้บ้างเล็กน้อยหลังฉีด ซึ่งไม่มากใช้เมคอัพปกปิดได้ ไม่มีผลข้างเคียงในระยะยาว คนไข้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แม้แต่ขึ้นเครื่องบินหลังทำก็สามารถทำได้ค่ะ

ใครบ้างที่เหมาะสมกับการรักษานี้
-           สามารถรักษาได้หลากหลายมากค่ะ เริ่มต้นตั้งแต่กระชับรูขุมขน ทำให้ผิวเนียนขึ้น ไปจนถึงขจัดริ้วรอยต่างๆ โบทูลินั่มท็อกซินสามารถถูกฉีดเข้าไปที่กล้ามเนื้อเพื่อแก้ไขร่องระหว่างคิ้วที่ลึกปานกลางถึงมากได้ โดยออกฤทธิ์อยู่ได้ชั่วคราว มันยังสามารถถูกฉีดเพื่อลบรอยตีนการะดับปานกลางถึงลึกมากได้อีกด้วย

ใครบ้าง”ไม่”เหมาะกับการรักษานี้
-           คนที่มีภาวะทางการแพทย์ อาทิเช่น เส้นประสาท หรือกล้ามเนื้อถูกทำลายควรได้รับคำแนะนำอย่างใกล้ชิดเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ไม่แนะนำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตรฉีดแม้ว่าจะยังไม่มีงานวิจัยว่าการฉีดมีผลต่อแม่หรือเด็กก็ตาม

ผลลัพท์ของการรักษาเป็นอย่างไร
-           การรักษาทำให้เส้นริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าตื้นขึ้น และสามารถปรับแต่งให้ดูเป็นธรรมชาติได้ ผลจะคงอยู่3-6เดือน




FILLERS




ฟิลเลอร์คืออะไร และทำงานอย่างไรบ้าง
-           เมื่อเราอายุมากขึ้น คอลลาเจ้นและอีลาสตินของเราก็จะน้อยลง เพราะเซลล์ไม่สามารถสร้างสารประกอบของความอ่อนเยาว์ได้อีกแล้ว ผิวจะแห้งขึ้น บางขึ้น และฟื้นฟูตัวเองยากขึ้น เมื่อตอนเราเกิด พวกเรามีปริมาณไฮยาลูโรนิค เอซิด(Hyaluronic Acid) หรือ HA มากมายในร่างกาย แต่เมื่อเราแก่ขึ้น HA ที่มีอยู่ก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น ริ้วรอยจึงเริ่มปรากฏขึ้น ดังนั้น การยกและเติมเต็มผิวด้วยฟิลเลอร์ จึงสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์เราให้ดูสดใสย้อนวัยได้ค่ะ
-           การรักษาริ้วรอยด้วยฟิลเลอร์คือการใช้เข็มฉีดสาร HA เข้าไปในผิว เจ็บเพียงเล็กน้อยเพราะใช้เวลาทำไม่นาน สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ การรักษาริ้วรอยด้วยฟิลเลอร์เห็นผลเร็ว ไม่มีรอยแผลเป็น และรักษาได้ตั้งแต่ริ้วรอยเล็ก  ไปจนถึงหลุมลึก

การรักษาด้วยฟิลเลอร์เป็นอย่างไร
-           การรักษาใช้เวลาประมาณ30-45นาที ผลของมันอยู่ได้นานถึง18เดือน บางเคสอยู่ได้นานถึง24เดือน การรักษาด้วยฟิลเลอร์สามารถสลายได้ การฉีดอาจมีช้ำบวมบ้างเป็นเรื่องปกติ อาการช้ำไม่ได้เป็นนาน และสามารถปกปิดด้วยเมคอัพได้

ใครบ้างที่เหมาะสมกับการรักษานี้
-           ฟิลเลอร์สามารถใช้รักษาได้หลากหลาย ตั้งแต่ปรับสภาพผิวไปจนถึงลดริ้วรอย ผู้ถูกรักษาที่เหมาะสมคือคนที่ต้องการเพิ่มปริมาตรบนใบหน้า อาทิเช่น ผู้ที่มีไลฟ์สไตล์แอ็คทีฟมากๆมักมีใบหน้าแบนตอบมาก เช่น พวกนักวิ่ง เป็นต้น ฟิลเลอร์ยังช่วยกักเก็บคอลลาเจ้นของเรา เนื่องจากมันจะค่อยๆน้อยลงเมื่ออายุได้30ปี ทำให้หน้าใสขึ้น ดูสดใสขึ้นด้วยค่ะ

ใครบ้าง”ไม่”เหมาะกับการรักษานี้
-           เรายังไม่ทราบผลเสียต่อคนท้อง หรือคนให้นมบุตร แต่ยังไงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ไปก่อนจะดีกว่าค่ะ

ผลลัพท์ของการรักษาเป็นอย่างไร
-           ผลการรักษาอยู่ได้นาน18-24เดือน ฟิลเลอร์จะค่อยๆสลาย ไม่ได้หายวับไปแบบทันที เมื่อไหร่ที่มันเริ่มสลาย เราก็สามารถไปเติมเพิ่มได้ค่ะ

Tips and Tricks  



 เมื่อคนไข้เข้ามาที่คลินิกและแจ้งว่ามีริ้วรอยจุดไหนบ้างที่เค้าไม่ชอบ แพทย์ที่ดี”ไม่ควร”ดูแค่บริเวณที่คนไข้แจ้ง แต่ควรประเมินริ้วรอยบนใบหน้าทั้งหมด และองค์ประกอบหน้าโดยรวมของคนไข้ด้วย เพราะการรักษาเฉพาะจุดที่คนไข้แจ้ง อาจทำให้ใบหน้าโดยรวมดูไม่เป็นธรรมชาติได้ค่ะ บางครั้งคนไข้จะบอกว่า มีคนทักว่าเค้าดูเหมือนเศร้า หรือเหนื่อย หรือดูโกรธ เครียด เคสเหล่านี้มักไม่ได้เกิดจากริ้วรอยแค่เพียงจุดเดียว แต่อาจเกิดจากองค์ประกอบหลายอย่าง แพทย์จึงควรให้คำแนะนำทางเลือกต่างๆที่เหมาะสมในการรักษาค่ะ


 เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิง เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร


 Dip in dermatology, Cardiff University,UK.
Cosmetic dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.


แพทย์ผู้บริหาร Doctor Grace Clinic

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เกล็ดความรู้เรื่องโบท็อกซ์

วันนี้หมอขออธิบายเกี่ยวกับยาที่หลายคนยังสับสนนะคะ
  โบทูลินั่มท็อกซิน  หรือที่ทุกคนเรียกกันว่า “โบท็อกซ์” จริงๆแล้วชื่อโบท็อกซ์เป็นชื่อยี่ห้อของ โบทูลินั่มท็อกซินที่บริษัทอัลเลอแกน Allergan ประเทศอเมริกาเป็นผู้ผลิต หรือที่หลายคนมักเรียกว่าโบท็อกซ์อเมริกา พอมีการเรียกกันมากๆจึงเรียก โบทูลินั่มท็อกซิน ทุกยี่ห้อว่าโบท็อกซ์ และเพื่อให้คนไข้เข้าใจได้ง่ายๆ หมอก็จะเรียกโบท็อกซ์เช่นกันค่ะ 


  ทีนี้ โบทูลินั่มท็อกซิน ก็มีหลายยี่ห้ออยางที่เราทราบๆกันนะคะ หนึ่งในยี่ห้อที่คนไข้มักสับสนกัน คือ 2 ยี่ห้อนี้ค่ะ ยี่ห้อนิวโรน็อกซ์ (Neuronox) เป็นของประเทศเกาหลี ผ่านอย. โดยเป็นโบทูลินั่มท็อกซินของเกาหลียี่ห้อแรกที่ผ่าน FDA หรือ อย. ของอเมริกา (ที่ Doctorgrace Clinic ใช้ยี่ห้อนี้) อีกยี่ห้อคือ นิวร็อกซิน (Neuroxin) ทั้งสีกล่องลวดลาย รวมถึงชื่อมีความคล้ายคลึงกัน แต่เป็นตัว"ไม่ผ่าน อย." ตัวยาทำให้ดื้อโบท็อกซ์ง่าย ที่ร้ายแรงไปกว่านั้น เมื่อฉีดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ เช่น ตาตก ปากเบี้ยว เพราะการกระจายตัวของยายังไม่ได้มาตรฐาน จึงอาจกระจายไปบริเวณที่ไม่ต้องการได้

  จึงอยากเตือนคนไข้ทุกท่านด้วยความหวังดีค่ะ การประหยัดเงินไม่กี่บาท ไม่คุ้มกับการเสียโฉมทั้งชีวิตเลยค่ะ

อีกครั้งนะคะ “นิวโรน็อกซ์ (Neuronox)” ปลอดภัยผ่าน อย. “นิวร็อกซิน(Neuroxin)” ไม่ปลอดภัยไม่ผ่าน อย. ค่ะ ฝากถึงคนที่ซื้อยาตามอินเตอร์เนตมาให้คนอื่นๆทั้งที่เป็นหมอและไม่ใช่หมอด้วยนะคะ ยาในกลุ่มนี้เป็นของปลอมเกือบ 100% อย่าเอาหน้าตัวเองไปเสี่ยงกับสิ่งเหล่านี้เลยค่ะ

เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิง เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร

Dip in dermatology, Cardiff University,UK.
Cosmetic dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.



แพทย์ผู้บริหาร Doctor Grace Clinic

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

10 คำถามเรื่องสิว ใครว่าเรื่องเล็ก

หน้าใสจริงต้องไม่มีสิว แต่เป็นวัยรุ่นฮอร์โมนกำลังพุ่งแรงจะทำยังไงดี งานนี้เราเลยขอคำปรึกษาจาก  พญ. เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร หรือคุณหมอเกรซ  มาบอกให้หายข้องใจ และนี่คือ 10  สงสัยที่สาวๆวัยรุ่นอยากรู้มากที่สุด เราหาคำตอบมาให้แล้ว

1. ทำไมวัยรุ่นต้องเป็นสิว
หมอเกรซ : เพราะสิวเกิดจากฮอร์โมนพอเราโตขึ้นเปลี่ยนจากเด็กสาวเป็นนางสาว ร่างกายก็จะมีฮอร์โมนไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันสร้างน้ำมัน ถ้าเยอะเกินไป ระบายไม่ทันก็กลายเป็นสิวอุดตัน ยิ่งพอเจอกับแบคทีเรียเข้าไปเลยกลายเป็นสิวอักเสบ

2. แล้วจะป้องกันยังไงไม่ให้เป็นสิว
หมอเกรซ : วิธีที่ง่ายที่สุดคือกรล้างหน้าทำความสะอาด ให้ผลิตภัณฑ์โฟมล้างหน้าที่มีสวนผสมในการช่วยรักษาสิว อย่าแต่งหน้าเยอะ หมอเห็นเด็กๆบางคนใช้รองพื้นคอนซีลเลอร์เยอะ อยากบอกว่าเครื่องสำอางค์พวกนี้เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบได้เหมือนกัน

3. แปลว่าคนเป็นสิวห้ามแต่งหน้า
หมอเกรซ : สามารถแต่งหน้าอ่อนๆ ได้ในกรณีที่ไม่ได้เป็นเยอะ แต่ถ้าสิวอักเสบเอยะมากอุดตันก็เยอะมากแนะนำว่าอย่าใช้เครื่องสำอางค์จะดีกว่าคะ อย่างที่บอกว่ายิ่งใช้รองพื้นหรือคอนชีลเลอร์ก็ยิ่งปิดกั้นกระบวนการระบายออกของน้ำมันทำให้เกิดสิวอุดตันสิวและอักเสบเยอะกว่าเดิมทางที่ดีหลีกเลี่ยงดีกว่าคะ

4. เมื่อเป็นสิวแล้วจำเป็นที่ต้องพบแพทย์ หรือรักษาด้วยตัวเองได้
หมอเกรซ : เมื่ออายมากขึ้น ฮอร์โมนน้อยลง สิวก็จะหายไปเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการล้างหน้าให้สะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำมัน (Oil Free) ไม่แต่งหน้าเยอะ ไม่ลูบ ไม่แคะแกะเกา วจะหายเร็วขึ้นไม่ทิ้งร่องรอยไว้แต่ถ้าเยอะๆ อาจะต้องลองปรึกษาแพทย์และใช้ยาทาคู่กับการกินยา

5. แล้วควรเลือกใช้โฟมล้างหน้าที่มีคุณสมบัติแบบไหน
หมอเกรซ : เลือกโฟมล้างหน้าให้ตรงกับสภาพผิว ควรมีส่วนผสมของสารที่ช่วยยับยั้งแบคทีเรียอันเป็นต้นเหตุของสิว เช่น ซาลิไซลิค ควรเป็นแบบ Oil free ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือมีน้ำหอมน้อย บางคนเข้าใจไปผิดๆว่าสครับจะช่วยขจัดหรือผลัดสิวให้หลุดออกซึ่งไม่ถูกต้องเลย ส่วนตัวแลหมอไม่แนะนำให้ใช้สครับ เพราะการใช้สครับจะยิ่งทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคื่อง แล้ะวลงท้ายด้วยการที่มิวอักเสบเยอะกว่าเดิม

6. ดูแลผิวแบบไหนถึงจะเรียกว่าถูกวิธี
หมอเกรซ : สิ่งที่ขาดไม่ได้หลังการล้างหน้าคืออย่าลืมลงมอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดด มอยส์เจอไรเซอร์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความแข็งแรงให้กับผิวหน้า ยารักษาสิวของหมอผิวหนังจะอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจทำให้ผิวแห้งดังนั้นมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะเป็นตัวช่วยให้ผิวไม่ระคายเคืองง่าย ส่วนครีมกันแดดเป็นตัวป้องกันจุดด่างดำ และการเกิดกระ ผ้าในอนาคต

7. ใช้ครีมกันแดดแบบไหนถึงจะเวิร์ก
หมอเกรซ :  แน่นอนว่าผิวคนเราจะมีความมันกว่าผิวกาย ฉะนั้นควรเลือกใช้ครีมกันแดดชนิด Oil free ซึ่งค่า SPF 60 ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เพียงแต่ต้องรู้จักวิธีการทาครีมกันแดดให้ถูกต้องคือใช้ครีมปริมาณ 2 ข้อนิ้วสำหรับทาหน้าและคอถ้าทาน้อยกว่านี้ผลของการกัน SPF ก็จะไม่เท่ากับที่ระบุไว้ที่ผลิตภัณฑ์ ที่สำคัญต้องทาต่อเนื่องทุก 2 ชั่วโมง

8. เป็นคนหน้ามัน สามารถใช้กระดาษซับมันบ่อยๆได้หรือเปล่า
หมอเกรซ : ไม่มีผลเสียอะไรหากเราซับได้ถูกวิธี เพราะกระดาษซัมมันจะค่อนข้างมีความแข็งมากว่ากระดาษทิชชู่ คนทั่วไปมักใช้กระดาษซับมันเช็ดรูไปที่ผิวหน้า ซึ่งทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองในขณะเดียวกันก็เป็นการกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบด้วย ฉะนั้นการซับหน้าที่ถูกต้องคือใช้กระดาซับมันกดไปที่บริเวณผิวที่มันทิ้งไว้ประมาณ 10-20 วินาที ให้กระดาษมันดูดซับความมันจากหน้า เท่านี้ก็ทำให้ความมันหายไปโดยไม่ทำให้ผิวแห้งแบบการใช้สครับหรือโทนเนอร์

9. กินซ็อคโกแลต ของมัน ของทำทำให้เป็นสิว
หมอเกรซ  : ยังไม่รายงานหรืองานวิจัยที่ระบุไว้ชัดเจนแบบนั้น แต่ทางการแพทย์เชื่อว่าในคนบางกลุ่มเมือรับประทานอาหารพวกนม เนย หรือผลิตภัณฑ์ประเภท Dairy Product ที่อยู่พวกเบเกอรี่ ช็อกโกแลต ร่างกายจะกระตุ้นสิวอักเสบได้ ทั้งนี้ต้องลองสังเกตตัวเองว่ากินอะไรแล้วสิวขึ้น เพราะการเป็นสิวที่รักษายังก็ไม่หายอาจะเกิดจากการแพ้อาหารบางชนิดได้เหมือนกัน

10. ออกกำลังแล้วหน้าใสจริงหรือเปล่า
หมอเกรซ มีทั้งได้ผลและไม่ได้ผล โดยทั่วไปแล้วการออกกำลังกายทำให้ร่างกายหลังฮอร์โมนที่มีความสุขร่างกายจะสึกสดชื่น เลือดสูบฉีดได้ดี แก้มแดงขึ้น หน้าดูใสขึ้น สิวขึ้นน้องลง ตรงข้ามกับเวลาเครียดที่หน้าจะดูหมองๆและมีสิวขึ้น แล้วทำไมถึงไม่ได้ผลกับคนอีกกลุ่มหนึ่งนั่นก็เพราะคนกลุ่มนี้มีอาการแพ้เหงื่อ เวลาเหงื่อออกแล้วผื่นขึ้น สิวขึ้น เนื่องจากความอับชื้น และทำไมถึงไม่ได้ผลกับคนอีกกลุ่มหนึ่งนั่นก็เพราะคนกลุ่มนี้มีอาการแพ้เหื่อ เวลาเหงื่อออกแล้วผื่นขึ้น สิวขึ้น เนื่องจากความอับชื้นและแบคทีเรียที่อยู่ในเหงื่อไปทำปฏิกิริยาบางอย่างกับผิวหน้า ดังนั้น หมอขอแนะนำให้ล้างหน้าให้สะอาด และเช็ดเบาๆ ด้วยผ้าขนหนูสะอาดทุกครั้งหลังออกกำลังกายค่ะ



เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิง เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร


Dip in dermatology, Cardiff University,UK.
Cosmetic dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.


แพทย์ผู้บริหาร Doctor Grace Clinic

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ใบหน้าสวยงามตามอุดมคติควรเป็นอย่างไร?

คำถามนี้เป็นคำถามที่หลายท่านคงอยากทราบ
”หมอเกรซ” พญ.เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร มีคำตอบค่ะ

“Beauty is in the eye of the beholder” หรือแปลง่ายๆว่า “ความสวย ขึ้นอยู่กับผู้ที่มอง” เพราะฉะนั้น การจะจำกัดความรูปแบบของใบหน้าที่สวยงามเพอร์เฟคจึงถือเป็นเรื่องที่ยากมากค่ะ เพราะมีเรื่องของค่านิยมในแต่ละท้องถิ่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อาทิเช่น ในฝั่งตะวันตก หรือประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้หญิงที่มีกรอบหน้าชัด กรามชัด กระดูกโหนกแก้มชัดเจน จัดว่าเป็นใบหน้าที่งดงามมาก ตัวหมอเองมีคนไข้ต่างชาติมากมายที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเพิ่มCheek Bone(โหนกแก้ม) แต่ในทางตรงกันข้าม มีสาวไทยมากมายที่มักต้องการให้หมอช่วยกำจัดความเด่นชัดของโหนกแก้ม





อย่างไรก็ตาม นักวิจัยได้ทำการศึกษา ค้นคว้ารูปแบบของใบหน้าที่สวยเพอร์เฟคนับร้อยนับพันรูป แล้วพบว่า  ในใบหน้าของดารา นางแบบ แทบทุกคนมักมีใบหน้าที่สมมาตรกัน แตกต่างจากใบหน้าของคนธรรมดาทั่วๆไป

 ช่างภาพชื่อ Julian Wolkentein จึงได้ทำการทดลอง โดยถ่ายภาพหน้าผู้คน และพบว่า คนทั่วๆไปส่วนใหญ่แล้ว มักมีใบหน้า2ข้างที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างของรูปทรงของตาทั้งสองข้าง รูปทรงจมูก ปาก หรือกรอบหน้า ความแตกต่างเหล่านี้อาจมองเผินๆด้วยตาไม่เห็นชัดเจนนัก แต่สมองของคนเราสามารถรับรู้ถึงความแตกต่างนี้ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่า และตีความออกมาว่าหน้าที่ไม่สมมาตรเป็นใบหน้าที่ไม่สวยงามกลมกลืน ดังนั้น ผู้ที่มีใบหน้าที่สมมาตร เช่น ดารา นางแบบ สมองของเราจะแปลความออกมาว่าเป็นใบหน้าที่กลมกลืน และดูน่าดึงดูดใจมากกว่า

วิธีแก้ไขรูปทรงหน้าให้ดูสมมาตรจึงเป็นวิธีพื้นฐานที่สุด ที่จะทำให้ใบหน้าของเราสวยงาม และน่าดึงดูดใจมากขึ้นค่ะ ปัจจุบันมีวิธีมากมายที่สามารถแก้ไขใบหน้าได้โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เช่น การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ยกกระชับรูปหน้าด้วยเครื่องมือต่างๆ หมอหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับผู้ที่กำลังต้องการปรับเปลี่ยนรูปหน้านะคะ


เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิง เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร

Dip in dermatology, Cardiff University,UK.
Cosmetic dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.


แพทย์ผู้บริหาร Doctor Grace Clinic

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม มีอะไรบ้าง



มีคำถามจากคนไข้ที่อยากปรับแต่งใบหน้าให้สวยขึ้นแบบไม่ต้องพึ่งศัลยกรรมมีวิธีไหนบ้าง ซึ่งมีหลายวิธีที่สามารถทำได้ง่ายๆ ใช้เวลาไม่นาน และไม่ต้องพักฟื้นด้วยค่ะ เรียกว่าเป็น Lunchtime Beauty Treatment คือมาทำสวยแล้วก็ไปทำงานอย่างอื่นต่อได้เลยค่ะ หมอจะขอยกตัวอย่างมาให้ 5 อันดับยอดนิยมการปรับแต่งใบหน้าแบบไม่พึ่งศัลยกรรมนะคะ

อันดับ 5 การร้อยไหม


การร้อยไหมเพื่อปรับรูปหน้าจะเหมาะกับผู้ที่ใบหน้ามีความหย่อนคล้อย ดังนั้นสาวๆ ที่อายุยังไม่เยอะ จึงอาจเห็นผลไม่ชัดเจนเท่าคนที่มีความหย่อนคล้อยมากๆนะคะ แม้ว่าการร้อยไหมจะสามารถเห็นผลได้ทันทีก็ตาม แต่จะเห็นผลมากที่สุดเมื่อมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาหลังการร้อยราวๆ เดือนขึ้นไปค่ะ


อันดับ 4 ฉีดฟิลเลอร์จมูก 



ใบหน้าของคนเอเชียส่วนใหญ่มักแบนไร้มิติ การเสริมจมูกจึงเป็นสิ่งที่จะทำให้มิติของใบหน้าพุ่งออกมาด้านหน้ามากขึ้นทำให้หน้าดูแบนน้อยลง ใบหน้าโดยรวมก็จะดูเรียวสวยได้รูปขึ้นค่ะ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่สลายได้และผ่านอย.แล้ว การฉีดฟิลเลอร์จมูกก็ยังถือเป็นบริเวณหนึ่งที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง หมอจึงมักแนะนำให้คนไข้ไปผ่าตัดเสริมจมูกจะปลอดภัยและอยู่ได้นานกว่าด้วยค่ะ


อันดับ 3 ฉีดฟิลเลอร์เสริมคาง

เป็นวิธีที่ทำให้ใบหน้าดูเรียวยาววีเชพได้เร็วที่สุด คือจะเห็นผลหลังฉีดทันที อย่างไรก็ดี ควรเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ ที่ใช้ฟิลเลอร์แบบสลายได้ และเป็นฟิลเลอร์ที่ผ่านอย. เพราะการฉีดฟิลเลอร์ที่ราคาถูกมากๆ ไม่ผ่าน อย. อาจทำให้คางบวมแดง เป็นก้อน หน้าเสียรูป และทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมากได้ค่ะ


อันดับ 2 เมโสแฟตสลายไขมัน 


สาวๆที่ยิ้มแล้วมีแก้มยุ้ยออกมามากๆจะทำให้ถ่ายรูปออกมาแล้วดูเหมือนเป็นคนเจ้าเนื้อได้ค่ะ หลายคนที่กล้ามเนื้อกรามไม่ใหญ่มากแต่มีแก้มยุ้ย เมื่อไปฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วอาจเห็นผลหน้าเรียวไม่ชัดเจน แนะนำให้ลองทำเมโสแฟตสลายไขมันที่แก้มเพิ่มเติม หน้าก็จะเรียวชัดเจนขึ้นค่ะ

อันดับ 1 ฉีดโบท็อกซ์ลดกราม 

การปรับรูปหน้าแบบไม่พึ่งศัลยกรรมที่ง่ายที่สุดก็คือการฉีดโบทูลินั่มท็อกซิน เข้าไปลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณกราม เมื่อกล้ามเนื้อทำงานน้อยลง ขนาดของกล้ามเนื้อก็จะเล็กลง และใบหน้าก็จะเรียวขึ้นค่ะ
สำหรับใครที่ต้องการให้รูปหน้าเปลี่ยน หรือให้เรียวมากๆ แนะนำให้ฉีดทุกๆ 4-6 เดือน ติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง เมื่อมาฉีดซ้ำอย่างต่อเนื่อง พบว่าขนาดกรามจะไม่กลับมาใหญ่เท่าเดิมอีกเลยทีเดียวค่ะ



เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิง เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร

Dip in dermatology, Cardiff University,UK.
Cosmetic dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.


แพทย์ผู้บริหาร Doctor Grace Clinic

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

“แก่ชรา อย่างสง่างาม” (Aging Gracefully) คืออย่างไร?




       มีสำนวนฝรั่งอยู่คำหนึ่งค่ะที่หมอมักจะได้ยินในบทสนทนาของเหล่าสาวๆในทีวีที่มีอายุมากขึ้น นั่นก็คือคำว่า “Aging Gracefully” หรือถ้าจะแปลเป็นไทยให้ความหมายตรงตัวที่สุดก็คงจะตรงกับคำว่า แก่ชรา อย่างสง่างาม”  Aging Gracefullyนั้นต่างชาติมักจะใช้ในความหมายเช่น ชั้นอาจดูแก่ แต่ชั้นก็โอบรับความแก่ด้วยความเต็มใจ หรือ ริ้วรอยของชั้นนั้นคือเส้นบอกประสบการณ์ ประโยคเหล่านี้ฟังดูเผินๆอาจจะดูสวยหรู แต่จริงๆแล้วความหมายโดยนัยนั้นค่อนไปในทางติดลบนะคะ มันเป็นประโยคซึ่งมีความหมายโดยนัยว่า คนๆนั้นตอนนี้ไม่ได้ดูดีเหมือนก่อนที่เคยเป็นมาอีกแล้ว




อันที่จริงหมอคิดว่า การแก่ชรา อย่างสง่างาม (Aging Gracefully) ไม่จำเป็นที่จะต้องหมายถึงการแก่ขึ้นของรูปลักษณ์ภายนอกแต่เพียงอย่างเดียวนะคะ การแก่ขึ้นอย่างสง่างามของเรา อาจหมายถึงทัศนคติของเราที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปในหลายๆช่วงวัย เช่น  “เดี๋ยวนี้แก่ขึ้นแล้วทำให้ใจเย็นลง ไม่ใจร้อนเหมือนแต่ก่อน เป็นต้นค่ะ 





ไอเดียที่ว่า การแก่ชรา อย่างสง่างามจะต้องเป็นการที่เราต้องยอมให้ริ้วรอยต่างๆปรากฏชัดเจนขึ้นโดยไม่มีการจัดการใดๆกับมัน หมอว่าไอเดียนี้ตอนนี้ล้าสมัยไปมากแล้วค่ะ ที่สมัยก่อนเค้าคิดกันแบบนั้น ก็เพราะในสมัยก่อน เวลาคนไปทำศัลยกรรมใดๆมาก็ตาม จะเป็นเรื่องต้องห้าม เป็นเรื่องน่าอาย ห้ามบอกคนอื่นๆ เป็นเรื่องให้ต้องซุบซิบกัน ซึ่งผิดกับสมัยนี้ที่การทำผ่าตัด หรือการฉีดต่างๆเป็นเรื่องปกติมากกก ได้รับการยอมรับมากขึ้น มีการทำอย่างแพร่หลายขึ้น เพราะปัจจุบันพวกเราทราบกันแล้วว่า การมาทำหน้าไม่เพียงแต่ช่วยทำให้เราดูเด็กลง แต่ยังทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นด้วยค่ะ




Aging Gracefully จึงไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องรู้สึกภาคภูมิใจในริ้วรอยที่มีอยู่ แต่หมายถึงการทำอย่างไรก็ได้ ให้ตัวเราก้าวย่างผ่านไปในปีแล้วปีเล่าที่เราแก่ขึ้นๆด้วยความมั่นใจค่ะ ซึ่งในบางคนอาจหมายถึงการเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนตามวัยโดยไม่คิดหวังพึ่งแพทย์ แต่สำหรับบางคนก็อาจหมายถึง การดูแลตนเองให้รูปลักษณ์ภายนอกสัมพันธ์กับสิ่งที่รู้สึกอยู่ภายใน เช่น ถ้าคุณยังรู้สึกมีความเป็นเด็ก และยังมีพลัง มีความกระฉับกระเฉงอยู่ ก็ไม่ใช่เรื่องหน้าอายที่จะพึ่งหมอเพื่อทำให้ภายนอกคุณดูเด็กเหมือนภายในใช่มั้ยล่ะคะ




เรียบเรียงบทความโดย หมอเกรซ แพทย์หญิง เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร



Dip in dermatology, Cardiff University,UK.
Cosmetic dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.


แพทย์ผู้บริหาร Doctor Grace Clinic

18 เคล็ดลับ เพื่ออายุยืนยาว (ตอนที่ 2)



อยากอายุยืนต้องอ่าน 18 เคล็ดลับ เพื่ออายุยืนยาว
บทความนี้ถูกเขียนโดยอ้างอิงจากงานวิจัยหลายหลายฉบับทางการแพทย์ หมอเองเป็นเพียงผู้แปลและเรียบเรียง ต่อจากบทความคราวที่แล้ว เรามาดูอีก 10 ข้อเคล็ดลับกันต่อค

9. มีคู่เสียเถิดคุณขา

คนที่แต่งงานแล้ว มีแนวโน้มอายุยืนกว่าคนโสดค่ะ นักวิจัยกล่าวว่า สาเหตุเป็นเพราะการแต่งงานจะช่วยเกื้อหนุนกันในด้านเศรษฐกิจและสังคม อย่างไรก็ดีในขณะที่การได้แต่งงานจะได้รับประโยชน์ในชีวิตมากที่สุด ยังพบว่าบุคคลที่หย่า หรือเป็นหม้าย ก็จะมีอัตราการตายต่ำกว่าคนโสดที่ไม่เคยได้แต่งงานเลยค่ะ

10. ลดน้ำหนัก

ถ้าคุณเป็นคนอ้วน การลดน้ำหนักจะช่วยป้องกันคุณจากโรคเบาหวาน หัวใจ และโรคอื่นๆที่อาจทำให้คุณตายไวได้ ไขมันที่สะสมบริเวณหน้าท้องมีโทษต่อร่างกายเรานะคะ ฉะนั้นเราก็ควรจะลดห่วงยางรอบพุงกันค่ะ มีงานวิจัยที่ใช้เวลาศึกษานาน5ปีแนะนำว่าการรับประทานเส้นใยมากขึ้น และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่ช่วยลดหน้าท้องได้ดียิ่งเลยค่ะ 

11. กระฉับกระเฉง

มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าผู้ที่ออกกำลังกายจะมีอายุยืนกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายนะคะ มีงานวิจัยเป็นโหลเลยค่ะที่แสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง เบาหวาน มะเร็งบางชนิด และโรคซึมเศร้า การออกกำลังกายยังช่วยให้เรามีสมองที่เฉียบแหลมแม้จะย่างเข้าสู่วัยชราแล้วด้วยนะคะ การโหมออกกำลังกายแค่เพียง10นาทีก็ดีพอแล้วค่ะตราบใดที่เรามีเวลาออกกำลังกายอย่างไม่หักโหมด้วยซักอาทิตย์ละ2.5ชั่วโมง

12. ดื่มอย่างพอประมาณ

ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียงพอประมาณจะเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลยนะคะ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าดื่มมากไป ก็จะทำให้ลงพุง ความดันเลือดสูง และเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆตามมาได้ค่ะ ถ้าจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สาวๆทั้งหลายควรลิมิตที่1แก้วต่อวัน และหนุ่มๆก็ลิมิตที่1-2แก้วต่อวันค่ะ แต่ถ้าคุณเป็นคนไม่ดื่มก็ไม่จำเป็นต้องหัดนะคะ ยังมีอีกหลายวิธีที่ช่วยถนอมหัวใจของคุณได้เช่นกันค่ะ

13. มีศรัทรา

คนที่เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาเสมอๆ มีแนวโน้มที่จะอายุยืนยาวกว่าคนที่ไม่ค่อยเข้าร่วมนะคะ มีงานวิจัยนาน12ปีในกลุ่มประชากรที่มีอายุมากกว่า65ปี พบว่าผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนามากกว่าสัปดาห์ละครั้ง จะมีระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่าในผู้ที่ไม่เข้าร่วม เครือข่ายที่เข้มแข็งในหมู่ผู้ที่ชอบเข้าร่วมการสักการะบูชาด้วยกันก็จะช่วยส่งเสริมให้สุขภาพของทุกคนดีขึ้นด้วยค่ะ

14. ให้อภัย

การปล่อยวางความขุ่นแค้น มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเราอย่างน่าประหลาดใจเลยนะคะ การขี้โมโหมีผลทำให้การทำงานของปอดลดลง มีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดในสมอง และความเจ็บป่วยอื่นๆ การให้อภัยจะช่วยลดความกระวนกระวาย ช่วยลดความดันเลือด และยังช่วยให้คุณหายใจได้สะดวกขึ้นด้วยค่ะ ประโยชน์ของการให้อภัยจะมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราแก่ตัวลงนะคะ

15. ขับขี่อย่างปลอดภัย



อุบัติเหตุเป็นสาเหตุการตายอันดับ5ในประเทศสหรัฐอเมริกา และยังเป็นสาเหตุการตายอันดับ1ในกลุ่มประชาการอายุ 1-24 ปีค่ะ การใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยจึงเป็นวิธีง่ายๆที่ช่วยให้อายุยืนยาวขึ้นนะคะ ยกตัวอย่างเช่น เข็มขัดนิรภัยช่วยลดการตาย 
หรือการบาดเจ็บสาหัสในอุบัติเหตุรถชนได้ถึง50% การเสียชีวิตจากการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการบาดเจ็บที่ศีรษะ ดังนั้นจึงควรใส่หมวกกันน็อคเสมอนะคะ

16. พักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับสนิทอย่างเพียงพอช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคอารมณ์แปรปรวน การพักผ่อนยังช่วยให้คุณฟื้นจากอาการป่วยได้เร็วขึ้นด้วยค่ะ ส่วนการนอนดึกก็จะส่งผลเสียต่อร่างกาย การนอนหลับน้อยกว่า5ชั่วโมงต่อคืนอาจเป็นการเพิ่มโอกาสให้คุณตายเร็วขึ้นนะคะ ดังนั้น การนอนหลับพักผ่อนจึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญค่ะ

17. จัดการกับความเครียด



คงจะไม่มีใครที่สามารถขจัดความเครียดในชีวิตให้หมดไปได้100% แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือ การเรียนรู้ที่จะควบคุมความเครียดของเรา อาจลองใช้วิธีการเล่นโยคะ การนั่งสมาธิ หรือหายใจเข้าออกลึกๆ เพียงแค่คุณทำสิ่งเหล่านี้ซัก2-3นาทีต่อวัน คุณก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้แล้วค่ะ

18. เป้าหมายมีไว้พุ่งชน

การหางานอดิเรกทำ หรือการหากิจกรรมที่น่าสนใจให้ตัวเองได้มุ่งมั่นทำ อาจช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้ค่ะ นักวิจัยชาวญี่ปุ่นค้นพบว่า คนที่มีความมุ่งมั่นแน่วแน่กับเป้าหมายของตนมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ หรือสาเหตุอื่นๆน้อยกว่าคนที่ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกันเป็นระยะเวลา13ปี  การที่เรารู้แน่ชัดว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และทำมันเพราะอะไร จะสามารถช่วยลดโอกาสการเป็นโรคอัลไซเมอรส์ได้อีกด้วยค่ะ

 เรียบเรียงบทความโดย หมอเกรซ แพทย์หญิง เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร



Dip in dermatology, Cardiff University,UK.
Cosmetic dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.


แพทย์ผู้บริหาร Doctor Grace Clinic

18 เคล็ดลับ เพื่ออายุยืนยาว (ตอนที่ 1)






อยากอายุยืนต้องอ่าน 18 เคล็ดลับ เพื่ออายุยืนยาว
บทความนี้ถูกเขียนโดยอ้างอิงจากงานวิจัยหลายหลายฉบับทางการแพทย์ หมอเองเป็นเพียงผู้แปลและเรียบเรียง เพราะเห็นว่ามีประโยชน์มากๆเลยค่ะ

1. ปกป้องดีเอ็นเอของคุณ


 
รู้หรือไม่ว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น บริเวณส่วนปลายของโครโมโซมของเราหรือที่เรียกว่าเทโลเมียรส์ จะมีขนาดสั้นลง เทโลมียรส์ที่สั้นลงนี่แหละคือสาเหตุของการเจ็บป่วย อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ในการดำรงชีวิตจะช่วยทำให้มีการสร้างเอนไซม์ที่ช่วยเพิ่มความยาวของเทโลเมียรส์ได้ อีกทั้งยังมีงานวิจัยค้นพบว่า การควบคุมอาหาร และออกกำลังกายช่วยป้องกันการหดสั้นลงของเทโลเมียรส์ได้ด้วย สรุปก็คือ การรักษาสุขภาพให้ดีเป็นนิสัยจะช่วยชะลอวัยได้ถึงระดับเซลล์เลยทีเดียวค่ะ

2. มีสติรู้ผิดรู้ชอบ


 
มีงานวิจัยงานหนึ่งที่ใช้เวลาศึกษายาวนานถึง80ปีค้นพบว่า คนที่มีสติ มีความใส่ใจในเรื่องต่างๆที่คนอื่นอาจมองข้าม เช่น ให้ความสนใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ คิดอะไรอย่างถี่ถ้วนและพยายามดำรงตนให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอ บุคคลที่มีบุคลิกเหล่านี้มักมีอายุยืนยาวกว่าคนอื่นๆ คนเหล่านี้มักดูแลสุขภาพตนเองเป็นอย่างดี มักจะมีความสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆอย่างแน่นแฟ้น และมักมีอาชีพการงานที่ดีกว่าคนอื่นๆด้วยค่ะ 

3. มีเพื่อน



 
หนึ่งในเหตุผลที่เราควรสำนึกบุญคุณของเพื่อนฝูงของเราก็คือ พวกเค้าช่วยให้เรามีอายุยืนขึ้นได้ด้วยค่ะ นักวิจัยชาวออสเตรเลียพบว่า กลุ่มผู้สูงอายุที่มีสังคม มีเพื่อน เมื่อผ่านไป10ปี มีจำนวนคนที่เสียชีวิตน้อยกว่ากลุ่มที่มีเพื่อนน้อย และเมื่อลองสำรวจงานวิจัยกว่า148งานก็จะพบความเชื่อมโยงระหว่างการมีสังคมและการมีอายุยืนยาวด้วยค่ะ

4. คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล


 
พฤติกรรมของเพื่อนมีผลต่อตัวของคุณเอง ดังนั้นทางที่ดีควรเลือกคบเพื่อที่มีนิสัยรักษาสุขภาพจะดีกว่าค่ะ เช่น คุณมีโอกาสอ้วนขึ้นได้ ถ้าคุณมีเพื่อนที่อ้วน พฤติกรรมการสูบบุหรี่ก็สามารถถ่ายทอดมาจากเพื่อนได้เช่นกัน แต่ข่าวดีก็คือการเลิกสูบบุหรี่ก็ติดต่อกันได้เหมือนกันค่ะ

5. เลิกบุหรี่


 
ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเลิกบุหรี่จะทำให้อายุยาวขึ้น แต่เวลาในชีวิตที่ยืดขึ้นมาหลังจากเลิกบุหรี่ อาจทำให้คุณประหลาดใจได้ค่ะ มีงานวิจัยของอังกฤษที่ศึกษากันยาวนานถึง50ปีพบว่า เมื่อคุณเลิกบุหรี่ที่อายุ30ปี คุณจะมีอายุยืนขึ้นถึง10ปี และถ้าเลิกที่อายุ 40, 50, หรือ 60 คุณจะมีอายุยืนขึ้น 9, 6, และ3ปี ตามลำดับค่ะ

6. งีบตอนกลางวัน


 
การงีบตอนกลางวันเป็นเรื่องปกติในหลายๆประเทศทั่วโลกนะคะ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าการงีบช่วยทำให้อายุยืนขึ้นด้วยค่ะ มีการศึกษาในคนจำนวน24,000คน พบว่า ในกลุ่มคนที่มีโอกาสงีบหลับเป็นประจำจะมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจน้อยกว่าในกลุ่มคนที่ไม่ค่อยมีโอกาสงีบถึง37% นักวิจัยสันนิษฐานว่า การงีบหลับอาจช่วยหัวใจได้โดยการลดระดับฮอร์โมนความเครียดค่ะ

7. รับประทานผักและผลไม้





เมนูอาหารที่ประกอบไปด้วยผัก ผลไม้ ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี น้ำมันมะกอก และปลา เมื่อวิเคราะห์งานวิจัย50งานแล้วจึงพบว่า ประชากรจำนวนกว่าครึ่งล้านยืนยันได้ถึงการได้รับประโยชน์จากการรับประทานอาหารในกลุ่มนี้ค่ะ อาหารกลุ่มนี้ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างชัดเจนจากการป็นโรคเมตาบอลิค(ซึ่งคือโรคอ้วนร่วมกับมีระดับน้ำตาลสูง ความดันสูง และปัจจัยต่างๆที่นำมาซึ่งโรคหัวใจและเบาหวาน)


8. รับประทานอาหารตามแบบชาวโอกินาว่า


 
ประชาชนในโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่นมีอายุยืนยาวที่สุดในประชากรโลก ซึ่งก็เป็นเพราะอาหารท้องถิ่นของพวกเค้าที่ประกอบไปด้วยผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเป็นปริมาณมาก รวมถึงอาหารที่มีแคลลอรี่ต่ำ อีกทั้งชาวโอกินาว่ายังมีวัฒนธรรมการรับประทานอาหารในจานแค่เพียง80% อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ในโอกินาว่าไม่ค่อยได้รับประทานอาหารตามแบบเดิมเท่าไหร่แล้ว ดังนั้น คนรุ่นใหม่จึงมีอายุไม่ยืนยาวเท่าบรรพบุรุษของพวกเค้าค่ะ

อีก 10 ข้อติดตามในบทความต่อไปคะ


เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิง เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร




Dip in dermatology, Cardiff University,UK.
Cosmetic dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.

แพทย์ผู้บริหาร Doctor Grace Clinic