doctorgracec

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เมโสๆ ที่เค้าเรียกกันว่าเมโส ที่จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่?

หมอขอเล่าย้อนไปนิดนึงนะคะ เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ



เมื่อเรายังเป็นตัวอ่อนในท้องแม่ หรือเอ็มบริโอ(embryo) ร่างกายของเรามีการเจริญของเนื้อเยื่อโดยแบ่งออกเป็น3ชั้น
1.ชั้นเอ็นโดเดิร์ม (endoderm) หรือเนื้อเยื่อชั้นในสุด ซึ่งต่อมาจะเจริญไปเป็นเยื่อบุผิวอวัยวะภายในต่างๆของร่างกาย และรวมถึงกลายเป็นอวัยวะต่างๆด้วย

2.ชั้นเมโซเดิร์ม (mesoderm) คำว่า meso มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกที่แปลว่า ตรงกลาง นั้นก็หมายถึง เนื้อเยื่อส่วนนี้คือเนื้อเยื่อชั้นกลาง ซึ่งจะเจริญไปเป็นผิวหนังชั้นหนังแท้ กล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะหลายๆอย่าง

3.ชั้นเอ็คโตเดิร์ม (ectoderm) หรือเนื้อเยื่อชั้นนอก จะเจริญไปเป็น ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ผม ระบบประสาท และอื่นๆ


คำว่าtherapy แปลว่า การรักษา
เมโสเธอราปี่ หรือเมโซเธอราปี่ (mesotherapy) จึงหมายถึง การรักษาใดๆก็ตามที่ทำในชั้นเมโซเดิร์ม หรือการรักษาใดๆก็แล้วแต่ที่ทำในผิวหนังชั้นหนังแท้ รวมไปถึงชั้นไขมันที่อยู่ติดกับชั้นหนังแท้


เพราะฉะนั้น การฉีดยาสลายไขมันเข้าไปในชั้นไขมัน จึงเรียกว่า เมโสแฟต
การใช้ยาอะไรก็แล้วแต่ จิ้มเข้าไปในชั้นเมโซเดิร์ม หรือชั้นหนังแท้  เพื่อให้หน้าขาวใสขึ้น จึงเรียกว่า เมโสหน้าใส
ถ้าเป็นยารักษาฝ้า ก็อาจเรียกว่าเมโสฝ้า ถ้าเป็นตัวยารกแกะ ก็เรียกว่า เมโสรกแกะ เป็นต้นค่ะ
มาเด้ คอลลาเจ้น ก็เป็นการฉีดเมโสเหมือนกันค่ะ โดยฉีดเข้าที่ชั้นหนังแท้16จุดทั่วหน้า ตามจุดฝังเข็มแบบแพทย์แผนจีนค่ะ

สรุปนะคะ ฉีดอะไรเข้าไปในชั้นเมโซเดิร์ม ก็เรียก เมโส แล้วตามด้วยชื่อสารนั้นได้เลยค่
ข้อควรระวัง ไม่ใช่สารทุกตัวนะคะที่สามารถฉีดได้ ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ทุกครั้งค่ะ

เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิง เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร


Dip in dermatology, Cardiff University,UK.
Cosmetic dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.



แพทย์ผู้บริหาร Doctor Grace Clinic

โบท็อกซ์ลดปีกจมูก เป็นอย่างไร ?

โบท็อกซ์ลดปีกจมูกทำได้ด้วยเหรอ เห็นผลจริงรึเปล่า

คนไข้ถามเข้ามาเยอะค่ะ วันนี้มาลองดูที่หมอเกรซตอบนะคะ บางคนเมื่ออยู่ในอารมณ์ตึงเครียดทั้งร่างกาย และจิตใจ จะมีการทำปีกจมูกบานออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้านึกภาพไม่ออก ดาราชื่อดังสุดหล่อ ขวัญใจสาวๆ คุณ ณเดชน์ คุกิมิยะ เป็นคนหนึ่งที่มีลักษณะตามที่หมอว่า

นั่นคือเมื่อ คุณณเดชน์ เข้าฉากที่มีการแสดงอารมณ์บีบคั้น จะทำจมูกบานโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาการนี้ก็อาจดูตลกและทำให้บางคนไม่ค่อยชอบนัก แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ค่ะ
 โบท็อกซ์ลดปีกจมูกบาน จะทำแล้วเห็นผลในกลุ่มคนที่มีกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกทำงานมากเกินไป โดยมีหลักเกณฑ์การเช็คง่ายๆ ก็คือ
ถ้าเราสามารถควบคุมปีกจมูกให้บานเข้าบานออกได้ การฉีดโบท็อกซ์ก็จะเห็นผลค่ะ ในทางตรงกันข้ามถ้าเราไม่สามารถควบคุมปีกจมูกให้บานเข้าบานออกได้การฉีดโบท็อกซ์ก็เสียเงินฟรี ไปผ่าตัดดีกว่าค่ะ เพราะปัญหาปีกจมูกบานอาจไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้อ แต่อาจเกิดจากองค์ประกอบอื่น ที่อาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดค่ะ
สาเหตุหนึ่งของปีกจมูกบานเกิดจากการหดตัวซ้ำๆของกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้น เหมือนคนเล่นกล้ามน่ะค่ะ ซึ่งกล้ามเนื้อที่ว่าก็คือ alar nasalis เป็นกล้ามเนื้อเป้าหมาย
ที่เราฉีดโบท็อกส์เข้าไปลดการทำงานของมันค่ะ ผลของโบท็อกซ์จะอยู่ได้ 4-6เดือน เท่าที่หมอฉีดมาแทบไม่มีผลข้างเคียงใดๆเลยยกเว้นความเจ็บระหว่างฉีด



Notes
การฉีดโบท้อกซ์ลดปีกจมูกนั้น ระหว่างฉีดคนไข้จะรู้สึกแสบจมูกคล้ายจะจาม คนไข้หลายคนฉีดเสร็จแล้วก็จามออกมา และมักมีน้ำตาไหลร่วมด้วย
สิ่งเหล่านี้เป็น reflect ปกติของร่างกาย ไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ แต่ถ้าคุณหมอฉีดปีกจมูกแล้วคนไข้ไม่มีอาการตามที่ว่ามาเลย แปลว่าคุณหมอฉีดลึกเกินไป และอาจไม่ได้ผลค่ะ

คนไข้ท่านใดมีคำถาม หรืออยากทราบเรื่องอะไรเกี่ยวกับด้านผิวพรรณความงาม สามารถส่งมาถามหมอเกรซได้ทางข้อความในแฟนเพจนะคะ จะทยอยตอบให้ค่ะ


เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิง เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร

Dip in dermatology, Cardiff University,UK.
Cosmetic dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.


แพทย์ผู้บริหาร Doctor Grace Clinic

วิธีเลือกคลินิกเสริมความงาม


ทุกวันนี้คลินิกความงามเปิดเยอะมากๆเลยนะคะ เปิดถี่พอๆกับร้านเสริมสวยเลยค่ะ คนไข้หลายท่านจึงมีความสงสัยว่าควรจะเลือกคลินิกความงามที่ไหนดี จึงจะดีและปลอดภัยที่สุด เพราะคลินิกที่เปิดเยอะแยะนั้น ก็มีข่าวเสียๆเยอะมากเช่นกัน วันนี้ลองมาดูหลักเกณฑ์ง่ายๆที่หมอเกรซใช้แนะนำคนไข้ในการเลือกรับบริการคลินิกความงามค่ะ

1.อย่าเลือกที่ราคา
บางคนเลือกที่ที่ราคาถูกที่สุด หมอจะบอกข้อเท็จจริงบางอย่างให้ทราบนะคะ โบทอก ฟิลเลอร์ก็เหมือนกระเป๋าแบรนด์เนมค่ะ คือต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ จึงต้องมีdistributor หรือผู้จัดจำหน่ายในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยรับมาจากบริษัทแม่ที่ต่างประเทศอีกที เพราะฉะนั้นราคาต้นทุนของยาที่คลินิกสั่งจากdistributorในประเทศไทย จึงมีต้นทุนเท่าๆกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อ ยิ่งซื้อมาก ราคาก็ถูกลง แต่ที่จะให้ถูกลงหลายเท่าตัวนั้น เป็นไปไม่ได้ค่ะ! ส่วนใหญ่แล้วราคาจึงไม่ต่างกันมากหรอกค่ะ

ส่วนยาหิ้วก็เหมือนกระเป๋าหิ้วค่ะ แต่อาจแย่กว่า เพราะเกือบ100% ไม่มีของแท้เลย เนื่องจากฟิลเลอร์ โบทอก ไม่เหมือนกระเป๋าแบรนด์เนมที่ใครจะเดินเข้าไปซื้อก็ได้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาซื้อยาของแท้จากต่างประเทศมาใช้ได้เองค่ะ เพราะฉะนั้นหน้าของเรา เลือกให้ดีๆ ดีกว่าค่ะ เสียโฉมขึ้นมาแบบที่เป็นข่าว มันไม่คุ้มกันเลยค่ะ

ทริกง่ายๆนะคะ โบทอก ฟิลเลอร์ ที่ราคาต่ำมากๆๆ เช่น โบทอกขวด100ยูนิต ถูกกว่า5000 ฟิลเลอร์ 1ccถูกกว่า5,000 ของแท้แทบเป็นไปไม่ได้ค่ะ

แต่เชื่อมั้ยคะ ว่าของแพงไปก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป มีคนไข้ท่านนึงเล่าให้ฟังว่า ได้ไปเจอเซลล์คลินิกนึงขายคอรสราคาแพงกว่าของหมอมากๆ เรียกว่าหลายเท่าตัวทั้งที่ใช้ยาตัวเดียวกัน เซลล์แจ้งว่าหมอของเค้าเป็นคนดัง มีแต่ดาราเซเลปมาทำ ราคาจึงแพง  คนไข้จึงถามว่าคุณหมอเจ้าของคลินิกจะมาฉีดให้เหรอคะ คำตอบคือ ไม่ค่ะ คุณหมอเจ้าของจะดูแลเคสเฉพาะvip จะเป็นคุณหมอท่านอื่นดูแลให้ เซลบอกว่า แต่ยาที่ใช้เนี่ยดีกว่าที่อื่นนะคะ สอบถามไปมาปรากฎว่าเป็นยี่ห้อเดียวกัน สุดท้ายคนไข้ไม่ได้ซื้อคอรส เนื่องจากราคาแพงกว่าหลายเท่าตัว จึงโดนเซลล์เหน็บมาว่า ทำไมคะ ราคามันสูงไปเหรอคะ จ่ายไม่ไหวเหรอคะ คนไข้หน้าชาและโกรธมากกก

อย่างที่หมอแจ้งค่ะว่า ราคาแพงกว่าก็ไม่ได้เป็นเครื่องหมายว่ายาดีกว่านะคะ เพราะยาก็สั่งมาจากบริษัทเดียวกัน ที่แพงกว่าน่าจะเป็นค่าฝีมือและชื่อเสียง ถ้าไม่ได้ทำกับคุณหมอที่เชื่อมั่น แล้วเราจะจ่ายแพงกว่าทำไมถูกต้องมั้ยคะ

ไหนๆก็ไหนๆ ขอเล่าอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่คนไข้เล่ามาอีกที
คนไข้ท่านหนึ่งต้องการทำศัลยกรรมอย่างนึงกับคุณหมอชื่อดัง นัดวันเวลา แจ้งว่าต้องการทำกับคุณหมอท่านนี้ เซลแจ้งว่ามีทำ2แบบ แบบที่2จะราคาสูงกว่า ราคาเกือบแสนเลยทีเดียว คนไข้ตกลงทำแบบที่2 ปรากฎว่าวันที่ไปทำ ไม่ใช่คุณหมอชื่อดังตามที่ตกลงกันไว้เป็นคนทำให้ แต่เป็นคุณหมอท่านอื่น และผลการผ่าตัดยังไม่เป็นไปตามแบบที่เลือกไว้คือแบบที่2ที่ราคาแพงกว่าอีกด้วย อีกทั้งแผลผ่าตัดคนไข้ยังมีอาการอักเสบบวมแดงอีก คนไข้แจ้งว่าส่งรูปไปถามเซลล์ เซลล์ว่าปกติ? แถมหมอที่ดูแผลก็ยังไม่ใช่หมอชื่อดังท่านนั้น แต่เป็นหมออีกท่านที่ทำผ่าตัดให้ สรุปคนไข้ไม่ได้เจอกับหมอชื่อดังที่ตนเองตั้งใจมาหาตั้งแต่แรกเลย เอวัง

2.หลีกเลี่ยงคลินิกที่รับฉีดยาหิ้ว อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่ายาหิ้วนั้นโอกาสที่จะเป็นของแท้แทบเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งยังถือเป็นของผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้น คลินิกใดก็ตามที่รับฉีดยาหิ้ว คลินิกนั้นก็ทำผิดกฎหมายค่ะ จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า ขนาดยาที่คนไข้ไปซื้อในอินเตอร์เน็ต เดินหิ้วมาให้ฉีด ยังกล้าฉีด ไม่กลัวคนไข้เป็นอันตราย แล้วยาที่ใช้ในคลินิกล่ะ จะเหลือเหรอคะ?

3.ถ้าเลือกได้ เลือกคลินิกที่คุณหมอเป็นเจ้าของ และออกตรวจเองด้วยจะดีกว่าค่ะ เหตุผลข้อแรก เพราะไม่ใช่หมอเวียน คนไข้สามารถมั่นใจได้ว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณหมอที่ทำให้ยังคงอยู่รับผิดชอบที่คลินิกแน่นอน และข้อที่สอง โดยทั่วไปแล้ว การทำงานของเจ้าของกิจการกับลูกจ้าง ย่อมมีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของความตั้งใจ และความยืดหยุ่นต่างๆให้คนไข้ จึงแนะนำว่าถ้าเลือกได้ เลือกคลินิกที่เจ้าของเป็นแพทย์ที่ออกตรวจด้วยจะทำห้มีความมั่นใจได้มากกว่าค่ะ

4.เช็คชื่อและหน้าหมอที่ติดอยู่ที่คลินิกว่าตรงกับเวปแพทยสภา 
http://www.tmc.or.th/check_md/
มีคนไข้เล่าว่า บางคลินิกไม่ยอมแจ้งชื่อจริงแพทย์ผู้ทำหัตถการ แจ้งแต่ชื่อเล่น ไม่ยอมบอกชื่อจริง ซึ่งถือว่ามีพิรุธเป็นอย่างมากนะคะ

โดยปกติแล้ว ที่คลินิกจะต้องมี รูป ชื่อ นามสกุล และเลขที่ใบประกอบโรคศิลป์ แปะอยู่ที่ผนังตามกฎหมาย คนไข้สามารถขอดู และจดไปเสิรชที่เวปแพทยสภาตามลิ้งค์ด้านบนได้เลยค่ะ ชื่อ นามสกุล รูป ทุกอย่างควรตรงกัน จึงจะมั่นใจได้ว่าเป็นแพทย์จริงๆนะคะ

5.หน้าคลินิกต้องติดเลขที่ใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาลจากกระทรวงสาธารณสุข แปลว่าผ่านการตรวจสอบและรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขแล้วค่ะ

6.สอบถามและตรวจเชคยี่ห้อยาที่ฉีดก่อนทุกครั้งว่า สามารถเอาชื่อผลิตภัณฑ์ไปเชคได้ในเวปอยได้ว่าเป็นยาที่ผ่านอยรึยังค่ะ ตามลิ้งค์
http://fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/drgdrug/Dserch.asp
เพราะเท่าที่ทราบ มีบางที่แอบอ้างว่ายาที่ตัวเองใช้นั้นผ่านอยแล้ว ทั้งที่จริงๆยังไม่ผ่านนะคะ

และเมื่อเข้าไปฉีด คนไข้สามารถสอบถามยี่ห้อยา และวิธีดูว่ายาเป็นของแท้กับคุณหมอเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง ถ้าคลินิกไหนไม่บอกยี่ห้อยา ไม่ให้ดูขวดยา หรืออธิบายการดูของแท้อย่างละเอียดไม่ได้ ให้ระวังของปลอมค่ะ

7.สุดท้ายนี้ก็คือ อย่าเชื่อรีวิวมากนัก ดารา เซเลป เน็ตไอดอลบางคน ก็ไม่ได้ทำที่นั่นจริงๆค่ะ แต่รับจ้างมา เหมือนที่รับจ้างโพสสินค้าในigนั่นละค่ะ จึงควรเสพสื่ออย่างมีสตินะคะ ด้วยความหวังดีค่า


 เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิง เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร

Dip in dermatology, Cardiff University,UK.
Cosmetic dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.



แพทย์ผู้บริหาร Doctor Grace Clinic

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เตือนภัย เกือบเสียโฉมเพราะหมอกระเป๋า



เมื่อไม่นานมานี้ หมอมีคนไข้ท่านนึงมาปรึกษา เนื่องจากไปฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับหมอกระเป๋ามา ได้ยินแค่นี้หมอส่วนใหญ่ที่พอจะทราบผลข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใต้ตา น่าจะรู้สึกหนาวๆร้อนๆ เสียวแทนคนไข้เป็นอย่างมาก
คนไข้แจ้งว่า มีเพื่อนแนะนำหมอ?กระเป๋าคนนี้มาอีกที หลังฉีดเสร็จคนไข้เห็นทันทีเลยว่ามีใต้ตาเห็นก้อนๆ ไม่เรียบ แต่หมอกระเป๋าแย้งว่าเดี๋ยวซักพักจะดีขึ้นเอง คนไข้จึงเชื่อตามนั้น
เวลาผ่านมาพักนึง ใต้ตาคนไข้ก็ยังเห็นเป็นก้อนอยู่ คนไข้เกิดความกังวลเป็นอย่างมาก พยายามโทรหาหมอกระเป๋าคนนั้น ก็รับสายบ้างไม่รับบ้าง และเนื่องจากเค้าไม่ได้มีคลินิกเป็นหลักแหล่ง จึงทำให้ยิ่งตามตัวได้ยาก
ต่อมาหมอกระเป๋านัดคนไข้ไปฉีดสลาย หลังฉีดพบว่าดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังเป็นก้อนสีขาวๆเห็นได้ชัดอยู่ดี หลังจากนั้นหมอกระเป๋าไม่ยอมรับสายเธออีกเลย คนไข้เครียดมากจึงหาข้อมูล และตัดสินใจมาปรึกษากับหมอเกรซค่ะ

หลังจากหมอประเมินดูแล้วจึงทำการรักษให้โดยทำให้ผิวใต้ตาดูเสมอกันมากที่สุด และได้พยายามฉีดสลายของเก่า ผลลัพท์เป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก ใต้ตาดูเรียบเนียนเป็นปกติขึ้นเยอะ โดยใช้เวลาแก้ไขไม่นาน ไม่ต้องขูด ไม่ต้องผ่า ไม่ต้องพักฟื้น คนไข้แอบบอกหมอว่า ราคาฟิลเลอร์ที่ไปฉีดกับหมอกระเป๋านั้น แพงกว่าที่มาฉีดกับหมอเกรซซะอีก (omg!)
ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นบริเวณที่ต้องอาศัยความชำนาญในการฉีดนะคะ เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวค่อนข้างบาง ถ้าหากฉีดไม่ดี ก็จะเห็นเป็นก้อนได้ง่ายมากๆ ปกติหมอจึงจะใช้เวลาในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานานกว่าบริเวณอื่นๆค่ะ เพื่อให้ค่อยๆปล่อยฟิลเลอร์เข้าไปทีละนิดๆ ผิวจะได้เรียบเนียนสม่ำเสมอ และไม่เป็นก้อน อีกทั้งยังควรเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่มีเนื้อเจลเหมาะสมสำหรับฉีดใต้ตา ซึ่งก็คือควรมีความนิ่มสูง จะได้ไม่เห็นเป็นก้อนๆ
ที่สำคัญที่สุดที่บรรดาหมอจริงๆเค้ากลัวกันก็คือ กลัวฟิลเลอร์เข้าสู่เส้นเลือด ซึ่งจะทำให้เกิดผลข้างเคียงคือตาบอดได้ จึงเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากๆๆๆๆๆที่หมอกระเป๋าฉีดฟิลเลอร์ให้คนไข้ วิธีหลีกเลี่ยงการที่ฟิลเลอร์จะเข้าสู่เส้นเลือดวิธีหนึ่งก็คือ หมอจะใช้เข็มปลายทู่(blunt canula) ซึ่งจะลดความเสี่ยงในการแทงเขาเส้นเลือด ทำให้มีความปลอดภัยมากกว่าการใช้เข็มแหลมตามปกติค่ะ ที่สำคัญคนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บเลยด้วยค่ะ

ฝากข้อคิดไว้นิดนึงนะคะ จริงๆแล้วฟิลเลอร์ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ตัวหมอเองก็ฉีดหน้าตัวเองอยู่เหมือนกันค่ะ ไม่ได้อันตรายถึงขนาดนั้น เพียงแต่ทุกคนควรคำนึงถึง3สิ่งต่อไปนี้ก่อนฉีดค่ะ (ปกติหมอจะบอกคนไข้ทุกคนที่กังวลกับการฉีดฟิลเลอร์) 

1.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ผ่านอย. 
2.ฉีดโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์สูง รู้อนาโตมี่ (anatomy) 
3. แพทย์สามารถฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในบริเวณชั้นผิวที่ถูกต้อง 
เพราะการวางฟิลเลอร์ในแต่ละชั้นผิวให้ผลที่แตกต่างกัน ที่สำคัญแพทย์สามารถฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละตำแหน่งบนใบหน้าได้อย่างถูกต้องแม่นยำตามหลักอนาโตมี่ เพื่อความสวยงามและปลอดภัยค่ะ ข้อ 3 และ ข้อ 2 มักจะมีคู่กันนะคะ




 เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิง เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร


Dip in dermatology, Cardiff University,UK.
Cosmetic dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.


แพทย์ผู้บริหาร Doctor Grace Clinic